Kovido Bhikkhu
โกวิโท ภิกขุ
เกิด: วันจันทร์ที่ 18 พ.ย. 2517 อ.เมือง จ.อุบลราชธานี
พี่น้อง : รวมจำนวน 2 คน, เป็นพี่คนโต, น้องชาย 1 คน (เสียชีวิตแล้ว)
พี่น้อง : รวมจำนวน 2 คน, เป็นพี่คนโต, น้องชาย 1 คน (เสียชีวิตแล้ว)
อุดมศึกษา : ม.เกษตรศาสตร์ (B.S. Forestry , M.S. Economic Botany)
อดีตการทำงาน : จนท.บริหารงาน โครงการส่วนพระองค์สมเด็จพระเทพรัตนฯ สวนจิตรลดา
จนท.ส่งเสริมสิ่งแวดล้อมศึกษา องค์กรพัฒนาเอกชน
จนท.ฝึกอบรม บริษัทเอกชน
ผจก.แผนกบุคคล / ผช.ผจก.ฝ่ายขาย บริษัทเอกชน
>>> เห็นธรรมแล้วจึงเกิดศรัทธา :
จากที่มีความสงสัยมาตั้งแต่เด็ก...ว่ามนุษย์เกิดมาเพื่ออะไร? สิ่งไหนคือสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรทำ? ใครคือแบบอย่างของการดำเนินชีวิตที่ยอดเยี่ยม? แล้วก็เริ่มพยายามค้นหาคำตอบเรื่อยมา แต่ก็ยังไม่พบ จนอายุเกือบครึ่งวัยเกษียณจึงสรุปเอาเองว่า..แบบแผนชีวิตมาตรฐานของมนุษย์ก็คือ การได้มีครอบครัวที่อบอุ่นและมีความสุขอย่างพอดี จากนั้นข้าพเจ้าจึงได้เริ่มเตรียมการเพื่อจะหันมาดำเนินชีวิตไปในรูปแบบดังกล่าว เมื่อใช้เวลาประมาณหนึ่งปีเศษในการศึกษาอบรมเพื่อจะไปประกอบธุรกิจส่วนตัว ก็คิดว่าพร้อมแล้วที่จะเริ่มตั้งหลักชีวิต จึงได้ยื่นใบลาออก (ม.ค.47) แต่หัวหน้าก็ขอให้ช่วยงานต่อไปอีกสักระยะหนึ่งจนกว่าจะหาคนมาทำงานแทนได้ ซึ่งเราก็ตกลงเพราะว่าไม่รีบร้อนอะไร
จนผ่านไปเกือบครบปี (พ.ย.47) ก็ยังไม่ได้ออกจากงาน ซึ่งก็เป็นจังหวะพอดี ได้มีพี่คนหนึ่งชวนไปที่วัดแห่งหนึ่งที่เชิงเขาใหญ่ (วัดถ้ำกฤษณาฯ) จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ได้สัมผัสกับความประหลาดใจ เมื่อได้เห็น “กระดาษทิชชู่สีขาวพับหนึ่ง” ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า และ “ภาพปฏิจจสมุปบาท” ในนาทีนั้นก็เกิดปัญญา นึกถึงตัวเองที่เป็นเหมือนคนเดินทางอยู่ในความมืด แต่แล้วก็ได้เห็นแสงสว่างส่องทาง “เห็นโทษภัยในวัฏสงสารการเวียนว่ายตายเกิด” และมีศรัทธาต่อพระพุทธองค์ “ผู้บอกทางแก่คนหลงทาง” อย่างตั้งมั่นและชัดเจน สรุปได้ทันทีว่า...ชีวิตที่เหลือต่อไปนี้จะต้องออกบวชเพื่อเดินตามรอยพระพุทธองค์ (นั่นคือก้าวแรก เพราะตั้งแต่เกิดมาก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องศาสนา) จึงได้เล่าเรื่องราวให้พี่ที่ไปด้วยกันฟังเอาไว้ ซึ่งก็สร้างความแปลกใจให้กับพี่ๆ ที่ไปด้วยกัน
เมื่อกลับจากวัด ก็ได้เริ่มอ่านหนังสือธรรมะหลายเล่ม โดยตั้งต้นจากผลงานของท่านพุทธทาส (ไม่รู้ทำไมจึงเลือกผลงานของท่าน) อ่านแล้วก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว เกิดความรู้สึกเหมือนคุ้นๆ ว่าเคยรู้เรื่องเหล่านี้มาก่อนทั้งๆ ที่ไม่เคยอ่านหนังสือธรรมะ แล้วจากนั้นก็มีคนนำหนังสือธรรมะทางด้านกรรมฐานหลายเรื่องมาให้อ่าน และเริ่มการเดินทางไปหาครูบาอาจารย์ โดยใช้ลางสังหรณ์บางอย่างนำทาง (ซึ่งพอมองย้อนกลับไป บางครั้งก็เป็นการเดินทางที่เสี่ยงอันตรายมาก แต่ตอนนั้นไม่ได้คำนึงถึงเลย)
>>> กลับสู่แดนดินถิ่นนักปราชญ์ :
ม.ค.48 ก็ได้ออกจากงานอย่างไม่มีอะไรติดค้าง ยกเลิกแผนการดำเนินชีวิตทางโลก เดินทางกลับภูมิลำเนาเพื่อไปขออนุญาตบิดามารดาว่าอยากออกบวช แต่คำตอบที่ได้รับคือ “รอให้ฉันตายก่อนน่ะแล้วค่อยไปบวช” (เป็นอย่างที่คาดไว้) เมื่อยังไม่ได้บวชก็เลยใช้เวลาช่วงที่ว่างงานนั้น “เก็บตัวทุ่มเทกับการศึกษาว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรบ้าง” ด้วยการอ่านจากตำราพระไตรปิฎก, ตำราวิสุทธิมรรค, วิมุติมรรค, ประวัติพระอสีติมหาสาวก ประวัติและคำสอนของครูบาอาจารย์ยุคเก่า-ปัจจุบันหลายๆ สำนัก (โดยเฉพาะผลงานของท่านพุทธทาส และหลวงปู่ชา) ตลอดจนการฟังซีดีการบรรยายธรรมะของพระสายกรรมฐาน ขณะเดียวกันก็ทดลองฉันมื้อเดียว ถือศีลแปดในชีวิตประจำวัน อยู่ประมาณ 6 เดือน บางช่วงไม่หลับไม่นอน ไม่พูดไม่จากับใคร จนพ่อแม่เริ่มวิตกกังวลว่าเราคงใกล้จะบ้า สิ่งที่เกิดขึ้นภายในคือเริ่มมองโลกในแง่มุมที่ต่างไปจากเดิมเป็นอย่างมาก
>>> จำต้องย้อนกลับมาทำงานอีกครั้ง :
ด้วยความที่สงสารพ่อแม่ เพราะเห็นท่านดูวิตกกังวลมาก ปลายปี 48 เราจึงต้องหวนกลับมาทำงานอีก แต่ก็ใช้เวลาวันหยุดที่มีเกือบ 90% ออกท่องไปตามวัดต่างๆ เพื่อ “แสวงหาครูบาอาจารย์สอนด้านการปฏิบัติ ขณะเดียวกันก็ยังคงอ่านหนังสือธรรมะและฟังเทศน์ เฉลี่ย 3 เรื่องต่อวัน หรือกว่า 1,000 เรื่องต่อปี ซึ่งก็ทำอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องกว่า 4 ปี” เวลากลางดึกเริ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพื่อนั่งสมาธิเป็นจนเป็นกิจวัตร (แม้จะลองผิดลองถูกเอาเอง) และช่วงนั้นก็ “ไม่เคยเอ่ยเรื่องขอบวชอีกเลย” มุ่งเพียงทำความเพียรด้วยการศึกษาด้วยตนเองเรื่อยๆ มา เพราะยังไม่รู้สึกว่าถูกใจครูบาอาจารย์ท่านไหน สถานที่วิเวกที่ชอบใจและไปหลายครั้งคือ วัดภูหล่น (ปฐมวิปัสสนาสถานของหลวงปู่มั่น)
ต่อมาชีวิตทำงานช่วงหลัง มีความก้าวหน้าขึ้น (โดยจำใจ) จากที่เคยมีลูกน้องแค่คนสองคน กลับกลายเป็นหกสิบเจ็ดสิบคน ภาระงานก็มากขึ้นจนเบียดบังเวลาการไปวิเวก และเริ่มรู้สึกอึดอัดมากยิ่งขึ้นกับภาระหน้าที่บางอย่างที่ไม่อยากทำ(แต่ก็ต้องทำ) และมารยาททางสังคมโลกหลายอย่างก็มีแรงฉุดดึงทำให้เรารู้สึกไหลไปในทางต่ำอยู่เนืองๆ ยิ่งนานวันก็ยิ่งสะสมความรู้สึกอึดอัดมากขึ้นทุกที ในขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่ง “ความศรัทธาและความตั้งใจมั่นต่อการศึกษาธรรมะก็ยิ่งทวีกำลังมากขึ้น” เพราะการกระทำอยู่อย่างต่อเนื่อง
>>> ออกจากงาน และ ออกจากเรือน :
ปลายปี 51 ก็ถึงจุดแตกหัก เพราะรู้สึกว่าเต็มที่แล้วกับชีวิตฆราวาส ความคิดนี้เกิดขึ้นอย่างราบเรียบ “สงบ มั่นคง ไม่วอกแวก พอดีๆ” ไม่ได้รู้สึกโล่งอก หรือดิ้นรนจนหนักใจ โดยวางแผนไว้ว่าจะออกไปเป็นอนาคาริกคือ ขับรถท่องไปตามวัดต่างๆ แล้วก็พักอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง จากนั้นก็ไปต่อ (ขอทำแค่นี้ก็พอใจ) ไม่เน้นเรื่องบวชแล้ว เพราะยังสรุปไม่ได้ว่าจะไปอยู่กับอาจารย์ท่านไหน เบื้องต้นคิดว่าจะเข้าวัดนั้นออกวัดนี้จนกว่าพ่อแม่จะยอมอนุญาตให้บวช (แต่ถ้าทำอย่างนี้อยู่สักครึ่งปี ท่านยังไม่ยอม ก็คิดไว้ว่าจะใช้วิธีอดอาหารประท้วง) หนึ่งสัปดาห์แห่งการเป็นอนาคาริก ก็รู้สึกเส้นผมเป็นภาระที่ต้องคอยดูแล จึงไปให้ร้านตัดผมจัดการจนเรียบ (อีกอย่างคือเราจะได้รู้สึกอายๆ ไม่อยากกลับเข้ามาเดินในชุมชนเมืองอีก)
ก็ไปได้ประมาณ 3-4 วัด แม่ก็โทรตามเป็นระยะ แต่พ่อนั้นไม่ยอมพูดด้วยเลยสักคำ เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน พ่อแม่จึงบอกว่าอนุญาตให้บวชแล้ว “แต่ว่าจะไม่จัดงานบวชให้น่ะ” และท่านก็ถามว่าจะไปบวชอยู่ที่ไหน ในตอนนั้นเราไม่ได้รู้สึกดีใจอะไร แล้วก็ยังตอบท่านไม่ได้ว่าสรุปแล้วจะไปบวชที่ไหน แต่ก็ได้นัดหมายกับ “หลวงพ่อไพฑูรย์ ขันติโก” เอาไว้ว่าจะไปโคราชกับท่าน ก็เลยขับรถมาจอดอยู่ถนนข้างวัด แล้วก็ “นั่งเงียบๆ คนเดียวอยู่ในรถ ใช้พลังความคิดอย่างหนัก” ณ เวลานั้นก็มีตัวเลือกอยู่ในใจ 3 วัด คือ วัดภูหล่น วัดป่าช้าบุ่งมะแลง และสำนักสงฆ์วัดป่าเครือวัลย์ (ปลายปี 52 ก็ได้ตั้งเป็นวัดสุภัททมงคล)
สองวัดแรกนั้นเราคุ้นเคยเพราะไปบ่อย แต่ก็อยู่ไกลจากพ่อแม่ สุดท้ายจึงสรุปว่า “เลือกสำนักสงฆ์วัดป่าเครือวัลย์” นี้เอง ด้วยเหตุผลที่ว่า สถานที่วิเวกดี, มีคนเข้าออกไม่มาก, มีครูบาอาจารย์ที่มีประสบการณ์ในวิถีชีวิตแบบพระกรรมฐาน, เป็นช่วงที่ท่านไม่มีลูกศิษย์อยู่ด้วย และวัดก็อยู่ไม่ไกลจากพ่อแม่ (แต่ก็ไม่ใกล้นัก) ท่านพอจะไปหาเราได้สะดวก เพราะถ้าเราหนีไปไกลๆ ในทันทีเลย ก็คงจะเป็นการทำร้ายจิตใจพวกท่านมากเกินไป อีกอย่างคือจะได้มีโอกาสชักนำท่านให้เข้าวัดมากขึ้นด้วย
>>> บวชเป็นผ้าขาว :
เมื่อได้ตัดสินใจขออยู่กับหลวงพ่อไพฑูรย์อย่างชัดเจน ท่านก็โกนผมให้ใหม่ บวชเป็นผ้าขาวอยู่กับท่าน และก็ติดสอยห้อยตามท่านไปเรื่อยๆ แต่ท่านก็ยังไม่ได้อบรมอะไร หรือแม้แต่พาทำวัตร ท่านปล่อยให้อยู่สบายๆ เป็นส่วนตัว แต่เราเองขณะนั้นก็ “มุ่งทำความเพียรโดยส่วนตัวทันที” (ลองผิดลองถูกไปก่อน) แล้วก็ยังคงศึกษาธรรมะโดยการอ่านและฟังไปเรื่อยๆ และสิ่งที่ต้องการเรียนรู้จากพระอาจารย์ก็คือการดำเนินชีวิตอย่างนักบวช ส่วนเรื่องธรรมะชั้นลึกนั้นไม่ได้คาดหวังอะไรไว้ ก็แล้วแต่ท่านจะเมตตา เพราะตั้งใจจะพึ่งตนเองเป็นหลักอยู่แล้ว อีกอย่างตั้งแต่ได้พบกับพระอาจารย์มา 2-3 ครั้ง ท่านก็ไม่ได้คุยธรรมะอะไรลึกซึ้งเป็นพิเศษ (เราอาจฟังไม่รู้เรื่อง) แต่มีที่สะดุดใจคือ ครั้งแรกที่พบท่าน ท่านพูดทิ้งท้ายไว้ว่า “ถ้าอยากมาเป็นลูกศิษย์ก็มาน่ะ” (คำพูดนี้สำคัญมาก เพราะเราไปที่อื่น แม้ครูบาอาจารย์ท่านจะเมตตาแต่ก็ไม่มีใครพูดคำนี้ จะมีบ้างที่พูดว่า “มาบวชที่นี่ซิ” “มาบวชอยู่ด้วยกันน่ะ” ซึ่งมันยังไม่รู้สึกตรงใจเราเสียทีเดียว) แล้วก็ครั้งที่สองได้มาพักอยู่กับท่านสองวัน แล้วขอโอกาสเรียนถามท่านว่า..ผมอยากจะบวชแต่ที่บ้านไม่ยอมจะทำยังไงดี ท่านก็ตอบสั้นๆ แค่ว่า “ก็ทำความเพียรต่อไป” (ท่านไม่ขยายความอะไรอีก) พอเราฟังแล้วกลับรู้สึกผ่อนคลายความกังวลอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆ ที่คำตอบก็ไม่ได้ชัดเจนอะไร แต่เราได้นำไปเป็นแนวทางคือปฏิบัติตนแสดงออกให้พ่อแม่เห็นเจตนารมณ์อย่างชัดเจนอยู่อย่างต่อเนื่อง ในช่วงที่อยู่เป็นผ้าขาวกับท่าน ท่านก็ให้โอกาสเราอยู่เป็นส่วนตัวมาก และไม่ค่อยเรียกใช้หากไม่จำเป็น (แต่ก็รู้สึกได้ว่าเราอยู่ในสายตาของท่านตลอด)
>>> บรรพชาเป็นสามเณร :
ตอนเช้าเวลาประมาณตีห้า วันที่ 25 มี.ค.52 หลังฝนตกอย่างหนักตลอดคืน หลวงพ่อมาเรียกที่กุฏิ บอกว่าวันนี้ท่านจะไปเทศน์ที่วัดหนองป่าพง และจะพาไปขอบวชด้วย ท่านก็จัดเตรียมบริขารที่จำเป็นให้ วันนั้นเป็นวันอุโบสถ หลังคณะสงฆ์ร่วมกันฟังปาฏิโมกข์จบ ท่านเจ้าคุณ “พระราชภาวนาวิกรม” (หลวงพ่อเลี่ยม ฐิตธมฺโม เจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง) ท่านก็ทำพิธีบวชเณรให้ท่ามกลางพระสงฆ์เกือบ 50 รูป สาเหตุที่วันนั้นท่านเมตตาบวชเณรให้เราคนเดียว “เป็นกรณีพิเศษ” (ก่อนผ้าขาวคนอื่นๆ ในวัดหนองป่าพงปีนั้น) ก็คงเป็นเพราะท่านเมตตาเอื้อเฟื้อต่อหลวงพ่อไพฑูรย์ผู้เป็นอาจารย์ และอาจเห็นว่าเราจะได้กลับไปอยู่อุปัฏฐากรับใช้พระอาจารย์ เนื่องจากท่านเป็นพระเถระแล้วแต่ก็ยังอยู่ลำพังผู้เดียว
แม้จะบวชเณรแล้ว พระอาจารย์ท่านก็ยังไม่ได้อบรมอะไรให้เป็นพิเศษ ยังคงปล่อยให้ทำความเพียรอยู่ส่วนตัว จะมีก็แต่แนะนำให้อ่านพระวินัยและข้อวัตรต่างๆ โดยเน้นที่ตำราบุพพสิกขาวรรณนา ซึ่งหลวงปู่ชาท่านใช้เป็นมาตรฐาน จนล่วงผ่านวันสงกรานต์ไปแล้วท่านจึงเริ่มพาทำวัตรสวดมนต์และค่อยๆ อบรมเรื่องทั่วๆ ไป พอ “ช่วงฤดูเข้าพรรษา ปี 52 จึงเริ่มอบรมเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ”
>>> อุปสมบทเป็นพระภิกษุ :
ในช่วงปลายฤดูพรรษา วันที่ 22 ส.ค.52 ท่านเจ้าคุณ (หลวงพ่อเลี่ยม) ท่านก็ทำพิธีอุปสมบทให้พร้อมๆ กับหมู่เพื่อนสามเณร รุ่นนั้นก็มีด้วยกัน 10 รูป เราอุปสมบทเป็นคนแรก โดยท่านตั้งฉายาให้ว่า “โกวิโท” ซึ่งท่านเจ้าคุณเขียนคำแปลใส่กระดาษให้ว่า โกวิโท แปลว่า ผู้ฉลาด (ยังเป็นคำแปลของฉายา) เสร็จแล้วก็กลับมาจำพรรษาอยู่กับหลวงพ่อไพฑูรย์ตามเดิม ในพรรษาแรกนี้นอกจากฟังหลวงพ่ออบรมแล้ว เราก็ได้ “ศึกษาเรื่องปรมัตถธรรมเพิ่มเติม” เพราะรู้สึกว่าช่วยทำให้เราเข้าใจธรรมะได้ชัดเจนขึ้น อาจเป็นเพราะเรามีพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์อยู่มาก และวันหนึ่งบังเอิญได้อ่านนิตยสารเจอเรื่องราวของหลวงปู่ฉลวย(วัดป่ามหาวิทยาลัย อ.หัวหิน) ซึ่งเป็นสหธรรมิกกับหลวงปู่ชา และหลวงพ่อไพฑูรย์เคยไปอยู่ศึกษาธรรมะจากท่านและมักกล่าวยกย่องท่านอยู่เนืองๆ นิตยสารเล่มนั้นเขียนไว้ว่าหลวงปู่ฉลวยมักจะหยิบหนังสือสองเล่มมาอ่านทบทวนเป็นประจำอยู่ ซึ่งเป็น “คำสอนของนิกายเซ็น” ชื่อหนังสือ “สูตรเว่ยหล่าง” และ “คำสอนฮวงโป” (แปลโดยท่านพุทธทาส) เราจึงลองหามาอ่าน พอได้อ่านก็รู้สึกพอใจกับคำสอนแนวนี้มาก เพราะอ่านทีไรเหมือนได้ระเบิดความคิดเราให้เกิดความเข้าใจธรรมะได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น
สำหรับเรา..กว่าจะได้เป็นบรรพชิตนั้นแสนยาก ขนาดบวชแล้วบรรดาญาติมิตรก็ยังฉงนสนเท่ห์ว่าทำไมเราตัดสินใจทำ(โง่ๆ)อย่างนี้ และแทบจะไม่มีใครเห็นดีเห็นงามร่วมอนุโมทนาด้วย แล้วก็ไม่มีใครได้ร่วมงานบวชเรา เพราะไม่มีฆราวาสคนไหนรู้ด้วยซ้ำว่าเราไปบวชวันไหน ยกเว้นพระสงฆ์ในวัดหนองป่าพง (นี่เป็นข้อวัตรที่สืบต่อกันมาในสำนัก ให้ระลึกว่าบัดนี้เป็นผู้ออกจากเรือน ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนแล้ว) แถมมีเสียงบ่นแว่วๆ มาให้ได้ยินอยู่เนืองๆ เช่น คนไม่ทำงานก็คือคนเรียนไม่จบ, พระพุทธเจ้าเขามีแล้ว จะไปบวชให้มันเป็นอะไรอีก, คิดยังไงอยู่ดีๆ ก็อยากจะไปเป็นขอทาน, ไม่เสียดายความรู้ที่ไปร่ำเรียนมาหรือไง, กว่าจะเรียนจบมาขนาดนี้ลงทุนไปเท่าไหร่, เห็นแก่ตัว ทิ้งพ่อทิ้งแม่, เรียนจบมาก็สูง คิดได้แค่นี้เหรอ, จะบวชนานไหม เดี๋ยวทำมาหากินไม่ทันเขาน่ะ, ฯลฯ ชนิดที่ว่าหลายคนได้ยินแล้วก็คงสะอึก (มันน่าคิดตรงที่ว่า ทุกคนเป็นชาวพุทธ กราบพระ ใส่บาตร ไปวัด ทำบุญ และยินดีกับงานบวชตามประเพณีของคนอื่น แต่พอเราคิดจะบวชไม่สึกนี่กลับเห็นว่าเป็นการกระทำของคนโง่เขลาเบาปัญญา ประหนึ่งว่าเราคงเสียสติไปแล้ว)
แต่เราเองก็ไม่หวั่นไหวกับคำพูดเหล่านี้หรอก ถ้าจะมีคิดไปบ้างก็ตรงที่ว่า... “เรานี่โง่เสียเวลาหลงอยู่ในโลก เหมือถูกปิดหูปิดตาอยู่ตั้งนาน” แต่อย่างไรก็ตาม สรุปแล้วเราก็ไม่ได้โกรธเคืองหรือน้อยใจใคร หรือเสียดายอะไรกับวันเวลาในอดีตที่ผ่านไป เพราะเมื่อทบทวนดูแล้วก็รู้ว่าทั้งหมดนั้นเป็นบทเรียนที่ทำให้เราได้เข้าใจและตระหนักยิ่งขึ้นว่า...เรื่องราวอย่างโลกๆ มันก็ “เป็นอย่างนั้นเอง”
และเมื่อวันเวลาผ่านไป...ความกังวลห่วงใยต่อพ่อแม่ และเรื่องเกี่ยวกับทางโลก ก็ค่อยๆ ถูกทิ้งห่างไป และขบคิดชำระไปด้วยกำลังแห่งสติปัญญา ประเด็นความสนใจค่อยๆ หดเข้ามา..หดเข้ามา..จนมาจดจ่ออยู่ที่งานหลัก คือ “งานศึกษาเรื่องกายกับใจตัวเอง” เพื่อมุ่งจะ “จบตัวเอง” ให้ได้ตามคำสอนสูงสุดแห่งพุทธศาสนา ซึ่งแม้ว่าจะยังมีงานอันหนักและซับซ้อนที่จะต้องทำ แต่เมื่อมีโอกาสแล้ว (ได้เกิดเป็นมนุษย์ และได้รู้หลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์) ก็ “ต้องพยายาม” ใช้โอกาสนั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ปัจจุบันเรายังถือนิสัยอยู่กับ “พระอาจารย์คือ หลวงพ่อไพฑูรย์ ขันติโก” (ตามวินัยสงฆ์อย่างน้อยก็ 5 พรรษาขึ้นไป) และอุปัฏฐากรับใช้ท่านเท่าที่จะคิดได้และทำได้ ฉะนั้น ใน “ช่วงนี้ก็ตั้งใจศึกษาคำอธิบายธรรมะของท่าน บันทึกเอาไว้ และเผยแพร่สืบทอดต่อไป” เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์แก่ใครบ้าง เพราะท่านเองก็ไม่เคยคิดว่าจะมีลูกศิษย์หรือจะมีใครมาอยู่ร่วมด้วย เพราะภาษาธรรมะของท่านค่อนข้างฟังยาก เน้นกำลังแห่งสติปัญญา ไม่ได้เน้นไปทางอิทธิปาฏิหาริย์อย่างที่กระแสมวลชนเขานิยมกัน แต่ “เมื่อมันมีเหตุปัจจัยให้ต้องทำ ก็เลยต้องทำกันไปตามเรื่อง ทั้งผู้เป็นอาจารย์ และผู้เป็นลูกศิษย์ ”
------------------------------------------------------------------------
>>> อุบาสก ปีที่ ๑ : ( ๒๕๔๗)
เมื่อได้ดวงตาเห็นแสงสว่างและทิศทางที่จะเดินก้าวไปแล้ว ก็ใช้เวลาศึกษาผลงานของท่านพุทธทาส (เท่าที่จะหาได้จากร้านหนังสือทั่วไป) และหนังสือธรรมะกัณฑ์เทศน์ของครูบาอาจารย์หลายเล่มจากที่พี่ๆ หลายคนนำมาให้ ส่วนการปฏิบัตินั้นก็เริ่มฝึกนั่งสมาธิเพื่อให้เกิดความสงบในเบื้องต้น โอกาสดีที่อยู่ใกล้วัดอโศการาม(เดินไปได้) และสวนหลวงฯ จึงได้ใช้เป็นสถานที่สำหรับปลีกวิเวกไปอ่านหนังสือและนั่งสมาธิ แล้วก็ไปปฏิบัติเองบ้างและเข้าร่วมคอร์สบ้างที่วัดถ้ำกฤษณาฯ (สาขาวัดสังฆทาน) ต.หมูสี ใกล้กับอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
>>> อุบาสก ปีที่ ๒ : ( ๒๕๔๘)
อ่านหนังสือกัณฑ์เทศน์ของหลวงพ่อสุธี ชาคโร รู้สึกพอใจ ก็เลยสุ่มเดินทางนั่งรถทัวร์ไปกราบท่านที่วัดป่าบ้านเหล่ากกหุ่ง อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น(คืนก่อนเดินทางก็อธิษฐานจิตว่าขอให้ได้พบท่าน) วันนั้นก็โชคดีที่หลวงพ่อเพิ่งกลับมาจากปราจีนฯ ตอนตีห้า (เที่ยงจะออกเดินทางเข้ากรุงเทพฯ) และก็บังเอิญได้พบกับเพื่อนสมัยเรียน ป.โท ด้วยกัน เขาเป็นศิษย์หลวงพ่ออยู่ก่อน (มาขับรถให้หลวงพ่อชั่วคราว) ในครั้งแรกมีเวลาจำกัด ท่านก็เลยไม่ได้คุยอะไรมากนัก ดูภายนอกแล้วท่านดุมาก แต่เราก็สัมผัสได้ถึงความเมตตา จากนั้นก็กลับไปหาท่านอีกครั้ง หลวงพ่อท่านเมตตาให้โอวาทเกี่ยวกับการเจริญกรรมฐาน แล้วท่านก็ให้โอกาสเราได้เดินทางไปวัดป่าบ้านตาดพร้อมกับคณะโยมน้องสาวท่าน (สมดังที่เราเคยปรารถนาไว้ในใจ) ครั้งนี้ไม่มีโอกาสได้กราบหลวงตามหาบัว (ท่านอาพาธ) แต่ก็ได้กราบและฟังโอวาทจากคุณแม่จันดี (น้องสาวของหลวงตา)
กลับไปอยู่ที่อุบลฯ ขออนุญาตพ่อแม่เพื่อจะบวช แต่ไม่ได้รับการอนุมัติ จึงใช้เวลาประมาณ ๖ เดือน ทุ่มเทให้กับการอ่านพระไตรปิฎก ตำราชั้นอรรถกถาจารย์ และหนังสือธรรมะของครูบาอาจารย์สายปฏิบัติ (โดยเฉพาะของหลวงปู่ชา) มีเวลาศึกษาอย่างต่อเนื่องมาก เพราะว่างงาน แล้วก็ทดลองถือศีลแปดควบคู่ไปด้วย
ปฏิปทาที่แสดงออกอย่างชัดเจนทำให้พ่อแม่เริ่มแสดงความกังวล เพราะยังไม่ยอมรับ เราก็เลยปรับสถานการณ์โดยยอมหวนกลับมาเข้าทำงานอีกครั้ง ช่วงแรกต้องเข้ามาฝึกงานที่กรุงเทพฯ ก็ประจวบเหมาะกับที่หลวงพ่อสุธีท่านเข้ามาพำนักที่กรุงเทพฯ ก็เลยได้ไปกราบท่านอีกครั้ง และก็มีโอกาสได้ไปที่วัดป่าบ้านตาดอีก (ครั้งนี้ได้พบหลวงตามหาบัวดังที่ปรารถนาไว้)
>>> อุบาสก ปีที่ ๓ : ( ๒๕๔๙)
ช่วงนี้โอกาสเป็นใจมาก หน้าที่การงานก็ไม่เป็นภาระ มีโอกาสได้ไปปลีกวิเวกตามวัดแทบทุกวันหยุด โดยตระเวนไปตามวัดป่าต่างๆ ซึ่งอยู่ไกลจากตัวเมือง แม้จะได้รับความเมตตาจากทุกแห่ง แต่ก็ยังไม่พบอาจารย์ที่ตรงใจ วัดที่ไปบ่อยคือ วัดภูหล่น (ปฐมวิปัสสนาสถานของหลวงปู่มั่น) เพราะพอใจบรรยากาศ และพระอาจารย์ท่านเมตตาเอื้อเฟื้อดีมาก (พระอาจารย์ชาลี) เมื่อมีโอกาสหยุดพักร้อนก็ได้ไปพักอยู่หลายวัน
ปีนี้ใช้เวลาฟังเทศน์ของพระสายกรรมฐานวันละหลายเรื่อง และยังคงอ่านหนังสือธรรมะต่างๆ ปีนี้ส่วนมากได้ศึกษาผลงานของท่านพุทธทาส เริ่มตื่นมานั่งสมาธิกลางดึก และเดินจงกรม เป็นกิจวัตร (ไม่มีความชัดเจน แต่ก็ทำเท่าที่ตนเองจะมีความรู้) แต่ก็กลับมาถือศีลห้าตามปกติ (ยกเว้นไปอยู่ที่วัด) เพราะการถือศีลแปดรู้สึกไม่สะดวกกับวิถีชีวิตประจำวัน
>>> อุบาสก ปีที่ ๔ : ( ๒๕๕๐)
ช่วงต้นปี ก็ยังคงศึกษาและปฏิบัติเหมือนปีที่ผ่านแล้ว แต่ต่อมาก็จำเป็นต้องรับตำแหน่งงานที่สูงขึ้น ภาระหน้าที่การงานมากขึ้น ทำให้โอกาสที่จะได้ไปปลีกวิเวกลดน้อยลง อีกทั้งจำเป็นต้องปรับตัวเข้ากับมารยาทสังคมมากขึ้น เริ่มรู้สึกได้ว่าความหลงและความโกรธ กำลังค่อยๆ กลับมาเติบโตขึ้นอีกอย่างช้าๆ จึงเป็นช่วงเวลาที่ต้องใช้กำลังแห่งความอดทน และพยายามจะฝืนมันไว้
>>> อุบาสก ปีที่ ๕ : ( ๒๕๕๑)
การศึกษาและปฏิบัติยังคงดำเนินอยู่ แต่มีโอกาสและเวลาน้อยลงกว่าเดิม กำลังแห่งความอดทนจึงเริ่มอ่อนแรง เพราะมีเหตุปัจจัยมากมายที่ส่งเสริมไปในทางฝ่ายต่ำ อีกทั้งมีภาระหน้าที่การงานหลายอย่างที่เราจำใจต้องทำทั้งๆ ที่ขัดกับทัศนคติฝ่ายคุณธรรมของตนเอง สติปัญญาก็เริ่มใคร่ครวญหาวิธีการที่จะฝ่าฟันให้ผ่านช่วงเวลาเหล่านี้ไปให้ได้ แต่ก็ไม่พบคำตอบอื่นนอกจากการ “ออกบวช”
ปีนี้เป็นช่วงเวลาที่ต้องสร้างเหตุปัจจัยปรุงแต่งเพื่อเสริมกำลังแห่งศรัทธาให้มากขึ้น จึงตระเวนไปกราบเจดีย์ตามสถานที่ต่างๆ หลายแห่ง เท่าที่จะมีเวลาสะดวก นอกจากที่อุบลฯ แล้วก็ไปทาง นครพนม มุกดาหาร ยโสธร ร้อยเอ็ด อำนาจเจริญ บุรีรัมย์ กำลังศรัทธาเริ่มมากขึ้นชัดเจนก็คราวที่ได้เห็นพระธาตุเสด็จต่อหน้าต่อตาตามคำอธิษฐาน (วัดหนองหญ้าปล้อง สาขาวัดหนองป่าพงที่ ๘๐ อ.ทะเมนชัย จ.บุรีรัมย์) และเมื่อคราวที่ได้มีโอกาสกราบที่เท้าของหลวงปู่จาม (มุกดาหาร) แล้วท่านก็เมตตาเอามือจับที่ศีรษะของเรา
เมื่อมีกำลังศรัทธาเพียงพอ ตั้งแต่กลางก็รู้สึกว่าเบื่อหน่ายกับวิถีชีวิตฆราวาสอย่างเต็มที่แล้ว พอปลายปีก็เหมือนเชือกที่รัดรึงไว้มันได้ขาดแล้ว อยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว แม้ว่าพ่อแม่จะยังไม่อนุญาตเราก็จะต้องไป จึงได้เอ่ยปากบอกกับพ่อแม่ให้ท่านรับทราบ โดยไม่รอคำอนุมัติ แล้วก็ขับรถออกจากบ้านไป นับเป็นการกระทำที่เป็นก้าวสำคัญ เพราะมันเป็นการพิสูจน์ปฏิปทาของตนเอง แล้วในที่สุดมันก็ได้ผล (เร็วกว่าที่คาดไว้) พ่อแม่ก็จำเป็นต้องอนุญาตให้ออกบวชในที่สุด
>>> พรรษาที่ ๑ : ( ๒๕๕๒)
ม.ค.๕๒ เป็นฆราวาสผู้ออกจากเรือน ตระเวนไปตามวัดต่างๆ
ก.พ.๕๒ ตัดสินใจบวชเป็นผ้าขาว ที่วัดสุภัททมงคล
มี.ค.๕๒ บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดหนองป่าพง
ส.ค.๕๒ อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดหนองป่าพง (พักจำพรรษาที่วัดสุภัททมงคล)
ปีนี้ได้มีโอกาสทำความเพียรภาคปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ เพราะไม่มีภาระใดใด ความเป็นอยู่สะดวกพอเหมาะในทุกด้าน และหลวงพ่อท่านอบรมตลอดช่วงฤดูเข้าพรรษา ทำให้ “เริ่มมองเห็นงานที่ต้องทำ และทางที่ต้องเดินชัดเจนขึ้น” แทบไม่ได้พูดคุยกับใครเลย หดตัวเข้ามาสนใจอยู่กับการสังเกตศึกษาเรื่องกายใจตัวเอง ให้ความสำคัญไปที่การค้นหาความหมายของคำว่า “อนัตตา” แต่ยังคงศึกษาภาคปริยัติอยู่ โดยเน้นศึกษาตำราด้าน “ปรมัตถธรรม” และคำสอน “นิกายเซ็น” พรรษานี้ได้เกิดความคิดปรุงแต่งเป็นบทกลอนขึ้นมาจำนวนมาก เหมือนเป็นคำอุทาน จึงได้จดบันทึกไว้
>>> พรรษาที่ ๒ : ( ๒๕๕๓)
หลวงพ่อท่านเมตตาให้การอบรมเป็นกิจวัตรแบบตัวต่อตัว ต่อเนื่องและเข้มข้น ตลอดทั้งปี เราได้เริ่มบันทึกเสียงไว้ ท่านจึงดำริว่าอยากจะ “บรรยายธรรมะไว้เป็นมรดกธรรม” เราจึงได้ทยอยถอดเทปไปด้วยและศึกษาคำสอนของท่านไปด้วย ประกอบกับการทำความเพียรอย่างต่อเนื่องตามที่ท่านอบรม พรรษานี้ทำให้เข้าใจชัดเจนว่า “ความรู้ทฤษฎี กับ รสชาติของธรรมะจริงๆ แตกต่างกันเป็นคนละเรื่อง” และ “เริ่มได้สัมผัสรสชาติของธรรมะเกี่ยวกับขันธ์ห้าอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน” ทำให้ยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่าทางที่เราจะเดินต้องไปทางนี้
>>> พรรษาที่ ๓ : ( ๒๕๕๔)
เริ่มรู้สึกว่า “สติปัญญามีความฉับไว รอบรู้อย่างกว้างขวาง และละเอียดขึ้นมากกว่าเดิมอย่างน่าประหลาดใจ” แต่เมื่อนึกถึงดำริของหลวงพ่อที่ท่านอยากจะทำงาน “ชุดมรดกธรรม” เพื่อถ่ายทอดภาษาธรรมะของท่านไว้ให้ผู้สนใจได้มีโอกาสศึกษา เราจึงได้พิจารณาตัดสินใจเลือกที่จะประคับประคองความเพียรแบบค่อยเป็นค่อยไป “แม้รู้ว่าอาจจะทำให้ตนเองต้องเนิ่นช้า” แต่ก็เห็นว่า “เป็นประโยชน์ต่อการสืบทอดหลักธรรมของพระพุทธศาสนา” จึงใช้เวลาส่วนใหญ่มุ่งทำงานเพื่อผลิตผลงานชุดมรดกธรรมของหลวงพ่อ และเริ่มเผยแพร่ออกไปในรูปแบบของ หนังสือ แผ่นซีดี และจัดทำเว็บไซท์ของวัด (ลงเผยแพร่ประวัติหลวงพ่อ รวบรวมรูปภาพของท่าน คำอธิบายธรรมะ และไฟล์เสียงบรรยาย)
ชีวิตของเราที่เดินทางมาถึง ณ วันนี้ เราสรุปได้ว่า “พอใจในระดับหนึ่ง” ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะฟลุ๊ค ไม่ใช่เพราะบังเอิญ ไม่ใช่เพราะโชคดี ไม่ใช่เพราะปาฏิหาริย์ แต่มัน “สมควรตามเหตุปัจจัย” ของมันเอง
อย่างไรก็ตาม อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ถ้ายังคงมีชีวิตอยู่ต่อไป ก็คิดไว้ว่าเมื่อพ้นจากการถือนิสัยอยู่กับอาจารย์ อย่างน้อยก็ ๕ ปี ตามพระวินัย เราก็รู้สึกลึกๆ ว่าจำเป็นจะต้องหาโอกาสหลีกไปอยู่วิเวก “เป็นการส่วนตัว” เพื่อรวบรวมกำลังในการพัฒนาตนให้บรรลุธรรมอันลึกซึ้งยิ่งขึ้นกว่านี้ แต่ความชัดเจนเรื่องเวลานั้นยังไม่ทราบ เมื่อไหร่เวลานั้นมาถึงเราก็คงจะรู้ได้เอง “เหมือนที่ผ่านมา”
บันทึกโดยย่อไว้ เมื่อ ม.ค. 54